สาระสำคัญ
ท่านศาสดาเคยกล่าวว่า “ผู้มีความรู้หนึ่งคนนั้นเข้มแข็งกว่าผู้ศรัทธาหนึ่งพันคน” และแท้จริงอัลเลาะห์ได้สอนมนุษย์ในสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้ และพระองค์ใช้ให้มนุษย์ศึกษาค้นคว้า พินิจพิจารณา ตรึกตรอง ใคร่ครวญ โดยพระองค์โต้ตอบกับมนุษย์ไว้ในหลายอายะห์ ว่า : (พวกเขาไม่เห็นหรือ) (พวกเขาไม่พิจารณาหรือ) (มนุษย์ไม่ได้พิจารณาหรือว่าเราได้สร้างเขาขั้นมาจากอสุจิ) (แท้จริงในการดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์แก่พวกที่ตรึกตรอง) (แท้จริงในการดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์แก่พวกที่ใช้สติปัญญา) (แท้จริงในการดังกล่าวเป็นที่ตรึกตรองสำหรับพวกที่มีสติปัญญา ) (จงอ่านเถิด ในนามผู้อภิบาลของเจ้า ซึ่งพระองค์ได้สร้าง) และยังมีอีกมากมายหลายอายะห์ที่มีความหมายทำนองเดียวกันนี้ อิสลามไม่ได้กีดกัน และไม่ได้สร้างเงื่อนไขในเรื่องเสรีภาพของการศึกษา และการค้นคว้าทางวิชาการ เพราะการศึกษาและค้นคว้าจะทำให้การเรียนรู้แนวทางของอัลเลาะห์ เป็นที่ปรากฎแก่ชาวโลก แต่อิสลามก็ไม่ได้เปิดประตูไว้โดยปราศจากหลักเกณฑ์ในการนำเอาผลลัพธ์ทางวิชาการไปปฎิบัติต่อสาธารณชน โดยไม่ผ่านการกลั่นกรองของหลักศาสนา ที่จะปล่อยให้สิ่งที่ศาสนาอนุมัติผ่านไป และกีกกันสิ่งที่ศาสนาห้ามเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ยินยอมให้ดำเนินการในเรื่องใดเพียงเพราะสามารถดำเนินการได้ แต่ต้องเป็นวิชาการที่เกิดประโยชน์ และนำผล ดีมาสู่มนุษยชาติ และป้องกันผลเสียที่จะเกิดกับมนุษย์ และวิชาการนี้ต้องเป็นวิชาการที่ปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และปกป้องเป้าหมายที่อัลเลาะห์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อเป้าหมายนั้น ดังนั้นจะนำมนุษย์มาเป็นเครื่องทดลองไม่ได้ จะละเมิดความเป็นตัวตนของบุคคล เอกลักษณ์ และคุณสมบัติของมนุษย์ไม่ได้ และวิชากรนั้นจะต้องไม่นำไปสู่ความสั่นคลอนของโครงสร้างทางสังคมที่เป็นปึกแผ่น หรือจะต้องไม่นำไปสู่ความเสื่อมสลายของระบบเครือญาติ วงศ์ตระกูล และสายสัมพันธ์ในการสืบวงศ์ตระกูล ตลอดจนโครงสร้างของครอบครัว ซึ่งถือปฎิบัติกันมาอย่างยาวในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ ภายใต้ร่มเงาของบัญญัติศาสนา และบนพื้นฐานอันมั่นคงจากข้อกำหนดของพระผู้เป็นเจ้า
ประวัตินักวิทยาศาสตร์ ในช่วงปี ค.ศ. 569 - 1449 ช่วงนี้เป็นสมัยที่มุสลิมครองความเป็นผู้นำ ดังนั้นในวงวิชาการจึงมีนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์มุสลิม เกิดขึ้นมากมาย แม้นักวิทยาศาสตร์ยุโรปปัจจุบันพยายามที่จะปกปิด แต่ผลงานต่างๆเป็นที่ประจักษ์แก่นักวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน ในสมัยนี้ยุโรปยังอยู่ในความมืดของทางวิชาการ ชาวยุโรปจึงเรียกช่วงนี้ว่ายุคมืดแห่งวิชาการ ความสว่างทางวิชาการในยุโรปจะไม่วันเกิด หากชาวยุโรปไม่ได้ตักตวงและศึกษาจากผลงานของนักวิทยาศาสตร์มุสลิมในสมัยนั้น
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น